รีวิว เชอราตัน มัลดีฟส์ ฟูลมูน รีสอร์ท แอนด์ สปา
Sunny Greetings! ทริปต่างประเทศทริปแรกหลังจากเว้นห่างมากสองปีกว่าเนื่องจากโควิด-19 เราได้มีโอกาสมามัลดีฟส์รอบนี้เป็นครั้งที่ 2 เนื่องจากครั้งก่อนที่มาโดยไปที่อีกรีสอร์ท มาครั้งแรกรู้สึกว่ามัลดีฟส์มันสวยมาก จนคิดตั้งปณิธานว่าถ้าวันนึงแต่งงานแล้วจะมา Honeymoon ที่นี่ แล้วเมื่อเราได้แต่งงานแล้วก็ต้องมาสานฝัน Honeymoon ที่มัลดีฟส์ โดยไม่สนใจคุณสามีที่ชอบภูเขามากกว่าทะเล และนี่เป็นครั้งแรกที่มาที่ Sheraton Maldives Full Moon Resort & Spa ในเครือ Marriott ที่มีโปรแกรมสำหรับสมาชิกคือ Marriott Bonvoy เช่นเคย
Port at Male Airport
สถานการณ์ ณ ตอนนี้ May 2022 มีเพียงสายการบินเดียวที่บินตรงมาท่ีมัลดีฟส์คือแอร์เอเชีย ซึ่งก่อนสถานการณ์โควิดจะมีบางกอกแอร์เวย์อีกเจ้าที่บินตรงมาเช่นกันและทั้งสองสายบินเวลาบินใกล้เคียงกันมาก และราคาถูกกว่าตอนนี้ด้วย ผู้ที่มาไม่ต้องมีผลตรวจอะไร แต่ต้องลงทะเบียนก่อนบินล่วงหน้าไม่เกิน 72 ชั่วโมงทั้งขาเข้าและขาออก ที่ https://imuga.immigration.gov.mv นอกจากนี้ ณ ตอนนี้ก็ยังคงต้องลง Thaiiland Pass ล่วงหน้า 48 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยเช่นกัน ควรลงทะเบียนตั้งแต่ก่อนบินออก เพราะที่เคาท์เตอร์เช็คอินที่ไทยก็ขอดูตั้งแต่บินออกกันเลย
From seaplane window – Sheraton Maldives Full Moon Resort & Spa
พอมาถึงที่สนามบินบรรยากาศก็เปลี่ยนไปเพราะที่นี่ผู้คนทำตัวกันเหมือนไม่มีโควิดอีกต่อไปแล้ว กลับสู่ปกติ ชิวกันมาก หายเครียดไปอีกแบบนะ พอไม่ต้องใส่หน้ากากกัน
Speedboat
Port at resort
Sheraton Maldives Full Moon Resort & Spa อยู่ใกล้สนามบิน Male จากสนามบินเดินทางด้วย Speedboat เพียง 15-20 นาที ซึ่งพอใกล้สนามบินมากเกินไปก็อาจทำให้บางคนรำคาญเสียงเครื่องบินได้ ทั้งเครื่องบินทั่วไปและ Seaplane ถือว่าวิ่งวุ่นทั้งวัน เช้ายันค่ำ แต่น้ำใสแจ๋วสมเป็นมัลดีฟส์เช่นเคย ส่วนสิทธิ์ Marriott Bonvoy Platinum Elite เราก็เลือกใช้เป็นฟรีอาหารเช้า และก็ได้คูปองไว้แลกเครื่องดื่มที่บาร์มาด้วย เลยตัดสินใจไม่ได้ซื้อแพคเกจอาหาร meal plan แบบ half-board หรือ full-board (ซึ่งถ้าใครอยากคุมค่าใช้จ่ายไม่ให้เกินงบ ซื้อพวกแพคเกจที่รวมอาหารก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะราคาอาหารแบบติดเกาะเลือกไม่ได้ ใช้เงินแก้ปัญหาล้วนๆ)
Sheraton Maldives Full Moon Resort & Spa – Front
ที่พัก
เราพักห้อง Overwater Bungalow, 1 King, Ocean view with pool ขนาด 54 sqm ได้หลังเบอร์ 133 ภายในมีตกแต่งเตียงต้อนรับการ Honeymoon ของเราและ โดยรวมห้องพักอยู่สบายดีไม่กว้างมากแต่ไม่แคบ
Overwater Bungalow, 1 King, Ocean view with pool
ให้ white chocolate cake และไวน์แดงเป็นของขวัญ honeymoon
White chocolate cake with red wine
สระว่ายน้ำ Plunge pool ขนาดกำลังดี แช่ไปมองวิวดูส่องหาปลาไป
Overwater Bungalow, 1 King, Ocean view with pool – Plunge pool
ห้องน้ำแบ่งเป็นสัดส่วนดี แช่อ่างมองวิวได้ แต่ความเห็นส่วนตัวคือส่วนที่แบ่งเป็นส้วมกับ shower แอบแคบไปนิดหน่อย มีสายชำระด้วยอันนี้ดี ให้เครื่องใช้ครบครันแต่ที่จะประหลาดนิดหน่อยคือไม่มีครีมอาบน้ำกับครีมนวดผม ให้อาบโดยใช้สบู่ และสระผมด้วยแชมพูอย่างเดียว ตอนแรกนึกว่าแม่บ้านลืมวางแต่เข้ามาทำห้องวันรุ่งขึ้นก็เติมให้มาเหมือนเดิมเป๊ะ สรุปคือ ให้อาบด้วยสบู่แหละ สระผมก็ไม่ต้องครีมนวด
Overwater Bungalow, 1 King, Ocean view with pool – Bathroom
ข้อเสียนึงที่เราพบคือ เราว่าบ้านแต่ละหลังตั้งติดเว้นระยะห่างน้อยเกินไป บริเวณบ้านมีปลาว่ายมาไม่ค่อยเยอะมาก แต่ถ้าว่ายออกไปใกล้หน่อยก็เจอตามปะการังมากขึ้น ฉลามไม่เจอบริเวณบ้านจะเจออีกฝั่งนึงที่เป็นร้านอาหารของโรงแรมมากกว่า ซึ่งไม่แน่ใจว่าตัวเดียวว่ายวนไปมาหรือมีมากกว่านั้นนิดหน่อยค่อนข้าง rare item
Overwater Bungalow, 1 King, Ocean view with pool – 133
Cottage
Overwater Bungalow
Overwater Bungalow
ร้านอาหาร
ข้อดีของที่นี่คือมีร้านอาหารให้เลือกเยอะหน่อย และรสชาติดีอยู่รอด ไม่ต้องพึ่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่แบกไป เคยไปอีกที่มีร้านให้เลือกน้อยและรสชาติอาหารคือหาที่ถูกปากไม่เจอ แต่ที่นี่ชิวเลย อาหารและเครื่องดื่มอร่อยหลายอย่าง ข้อดีชูโรงเลย ส่วนราคาก็เหมือนกันทุกโรงแรมคือ ราคาติดเกาะอ่ะ ทำใจมาอยู่แล้วในความโหดนี้ ร้านอาหารที่นี่มีถึง 7 ที่ได้แก่
Anchorage Bar: เครื่องดื่ม พิซซ่า แซนวิช อาหารที่ง่ายๆ Baan Thai: ร้านอาหารไทย Feast: เสิร์ฟบุฟเฟ่เช้า และเย็น โดยมื้อเย็นจะมีธีมอาหารแต่ละวันแตกต่างกันไป Sea Salt: ร้านซีฟู้ด และออกไปทางแนวอาหารอิตาเลี่ยน ChopstiX: ร้านาหารจีน Kakuni Hut: ร้านอาหารสไตล์คาริเบียน Caribbean Masala Hut: ร้านอาหารอินเดีย
โดยเราได้ไปลองทาน 4 ร้านแรก
Anchorage Bar ร้านอาหารกึ่งบาร์ ตั้งอยู่ติดหาด ตอนบ่ายๆ คนจะเยอะที่ร้านนี้ เพราะมักจะมากินอาหารและจิบเครื่องดื่มคลายร้อนเติมความสดชื่นกัน บรรยากาศชิวๆ และในตอนเย็นมื้อค่ำก็มีดนตรีสดด้วย
Napoli pizza 29USD++
Grilled octopus 28USD++
Baan Thai ร้านอาหารไทย เปิดเฉพาะมื้อค่ำ ที่นี่คนเสิร์ฟและเชฟที่นี่เป็นคนไทยทั้งหมด ราคาแรงแต่กินได้แน่นอนเพราะรสชาติไทย มีข้าวเกรียบเป็นออเดิร์ฟให้ ส่วนข้าวหอมมะลิฟรีเติมได้ไม่อั้น
Baan Thai – Vibe
Tom kha kai & tod mun goong
Kao kiab
Poo nim gratiem phrik thai
Feast บุฟเฟ่อาหารเช้า มีไลน์อาหารพอสมควรแต่เน้นหนักไปทางแขกๆ ซะเยอะหน่อย มี egg station เราก็รอดละ ชอบ Detox Drink ที่เป็น shot ชื่นใจดี ดื่มเป็นอย่างแรก (เวลาตักบุฟเฟต์ทางโรงแรมจะขอให้ใส่หน้ากากอนามัยนะ ช่วงเวลาเดียวที่ต้องใส่เมื่ออยู่ที่นี่)
Feast – breakfast
Sea Salt ร้านอาหารซีฟู๊ดมีสไตล์ไปทางอิตาเลี่ยน เปิดเฉพาะมื้อค่ำ ร้านนี้ติดริมน้ำ และหากนั่งโต๊ะที่นั่งริมน้ำ หากสังเกตดีๆ ก็มีฉลามว่ายผ่านไปมาอยู่ หากสั่งพวก seafood plate ก็สามารถไปจิ้มเลือกปลาในตู้ได้ แอบรู้สึกผิดกับเจ้าปลาสีส้ม ที่ถามชื่อพันธ์ุกับพนักงานแล้วเรียกยากจนจำไม่ได้ แต่น้องส้ตายคุ้มค่าเพราะเรากินกันเกลี้ยง เนื้อสดเด้งมากจ้า
Seasalt – front
Seasalt – menu
Complimentary starter
Branzino 45USD++
Gli Spaghetti all’ Aragosta 45USD++
Dall’ Acquario small fish 43USD++
Seasalt
พื้นที่ส่วนกลาง สระว่ายน้ำ และ honeymoon garden
Pool
Honeymoon Garden
Main beach
กิจกรรมทางน้ำ
ที่นี่มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย หากใครจองโรงแรมที่นี่ใกล้ๆ วันเช็คอิน จะมีอีเมลยิงตารางกิจกรรมมาให้ล่วงหน้า เพื่อเตรียมเงินและเตรียมตัว
พายเรือคายัค หนึ่งในกิจกรรมที่ฟรีและเราเลือกเล่นคือพายเรือคายัคบริเวณหน้าหาดส่วนกลางของโรงแรมที่น้ำใสแจ๋วสีฟ้าอย่างราวกับสระว่ายน้ำ
Kayak
Sunset Dolphin Cruise ล่องเรือออกไปชมพระอาทิตย์ตกพร้อมดูเหล่าฝูงโลมา กระโดด หมุน บิด ตีลังกา ทักทาย ตอน 16:30 – 18:00 กิจกรรมนี้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมคนละ 60 USD ++ วันที่เราไปอากาศไม่ค่อยดีเลยเจอแต่โลมาแต่ไม่เห็นพระอาทิย์ตกเพราะเมฆบังหมดค่ะ ก็เพลินๆ สนุกดี ไปไล่ตามหาโลมาที่อยู่ตามฝูงแบบธรรมชาติ เวลากระโดดโชว์ทีนักท่องเที่ยวก็ปรบมือส่งเสียงขำขำกันไป
Sunset Dolphin Cruise
VIDEO
Sunset Dolphin Cruise
สรุปถือว่าได้มีช่วงเวลาที่ดีที่มัลดีฟส์ แต่คงต้องพยายามมาช่วง High Season เพื่ออากาศที่ดีกว่านี้ จังหวะเราช่วง Low season ประกอบกับดวงมีความนก เจอฝนผสมวันละชั่วโมงจิตแจ่มใส มีแดดเกือบตลอดแต่ฟ้าไม่ค่อยเปิดแอบมีเมฆเยอะ แต่ยังดีที่สภาพภูมิศาสตร์ของมัลดีฟส์เป็นเกาะๆ เล็กๆ ฉะนั้นถึงจะมีฝนก็จะตกเพียงประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วแดดก็จะกลับมา
Vibe – beach
ถึงยังไงมัลดีฟส์ก็ยังเป็นสถานที่ที่อยากแนะนำให้ทุกคนลองมาสักครั้งในชีวิต ลองเลือกรีสอร์ทที่ตรงกับสไตล์ของตัวเอง เพราะแต่ละเกาะของแต่ละรีสอร์ทจะมีความแตกต่างกันไปทั้งการเดินทางไม่ว่าจะแบบ seaplane หรือ speedboat การตกแต่งรีสอร์ท และความสมบูรณ์ของสัตว์น้ำและปะการังในแต่ละที่ บางที่ก็มีห้องอาหารใต้น้ำด้วยนะ